Posted on

ประวัติป้าย3D Emblem | เสื้อยืดผ้าบาง

สวัสดีครับสหายวินเทจทุกท่าน 3Dถือว่าเป็นพระเอกของวงการเสื้อยืดผ้าบางบ้านเราที่ต้องมีข้อมูลไว้ประดับวงการบ้างไม่มากก็น้อย อย่างน้อยๆจะได้รู้ว่าคนอเมริกาเค้ารู้ดีแค่ไหนเกี่ยวกับเสื้อยืด3D ที่ใครๆก็อยากได้มาสวมใส่กัน บทความนี้เป็นบทความที่แปลมาเช่นเคย แต่จะพูดบางเรื่องและขอไม่พูดบางเรื่องเช่นกันเพราะผู้แปลมีความรู้ประกอบการแปลไม่เพียงพอครับท่าน

การแบ่ง 3D Emblem ออกเป็น 3 ช่วงน่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการดูประวัติและวิวัฒนาการของป้ายนี้… 3D Emblem ก่อตั้งขึ้นในปี 1952 โดยนักบินที่ปฏิบัติหน้าที่ในสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งเป็นร้านสกรีนเล็ก ๆ ตั้งอยู่ในท้องถิ่นและมีขนาดเล็กมาก และในยุค 70 เจ้าของรับหุ้นส่วนและสกรีนเสื้อสามส่วน และเสื้อผ้าอื่นๆ พวกเขาได้มีการริเริ่มสกรีนรูปรถมอเตอร์ไซด์และรูปรถบรรทุกซึ่งมีความแปลกใหม่อื่นๆ จำนวน 40 ชิ้น พวกเขาได้โฆษณากราฟิกโดยจัดทำการสั่งซื้อผ่านทางไปรษณีย์และเริ่มไปได้ด้วยดี เจ้าของบอกว่า ในเวลานั้น “เสื้อยืดควรเป็นเสื้อซับใน” แต่อย่างไรก็ตามยอดขายเพิ่มขึ้นอย่างกะทันหันก็น่าประหลาดใจทีเดียว

ในช่วงปลายทศวรรษที่ 70’s/ต้นทศวรรษ 80’s บริษัทมีเจ้าของเพียงรายเดียวและเติบโตอย่างต่อเนื่องกระทั่งในปี 1981-82 มีการเปลี่ยนมือเป็นครั้งสุดท้าย ในช่วงเวลาเดียวกัน บริษัท Harley Davidson Co. เริ่มออกข้อกำหนดทั่วสหรัฐอเมริกาบังคับใช้อย่างเคร่งครัดกับร้านค้าที่ใช้ชื่อหรือโลโก้โดยไม่ได้รับอนุญาต เช่น ตัวแทนจำหน่ายที่ไม่ได้รับอนุญาตต่างๆ 

พวกเขาผลิตเสื้อยืดของตัวเองหรือไม่?

เสื้อยืดผ้าพื้นหลากหลายจากบริษัทต่างๆถูกนำมาใช้ในช่วงแรกๆ จนถึงช่วงต้นทศวรรษที่ 80 เมื่อตลาดเสื้อยืดเริ่มขยายตัว 3D Emblem ใช้โรงพิมพ์ในเพนซิลเวเนียที่ผลิตแบรนด์ Sneakers สำหรับสกรีนกราฟิก 5 สีรุ่นแรกสุดราว ค.ศ. 1981 และแบรนด์อื่น ๆ เช่น ผ้าพื้นจาก Screen Stars ถูกนำมาใช้ด้วยเช่นกันมาจนกระทั่งถึงปี 83-84 ฉะนั้นป้ายสีดำทองของ3Dที่คนส่วนใหญ่คุ้นเคยกันนั้นทำขึ้นโดยบริษัทอื่นๆใน Pennslyvania ด้วยเช่นกัน เสื้อยืดผ้าพื้นเหล่านี้ไม่ได้ออกแบบมาสำหรับ 3D Emblemโดยเฉพาะ ฉะนั้นเสื้อเชิ้ตรุ่นแรกบางตัวอาจมีเลข RN number ที่แตกต่างกัน

ขนาด 2XL และ 3XL ผลิตในปีช่วง 1980?

นั่นคือการคิดล่วงหน้าในเวลานั้น แต่ฉันสันนิษฐานว่าเพราะไบเกอร์และคนขับรถบรรทุกน่าจะเป็นกลุ่มคนที่มีน้ำหนักมากกว่าและตัวใหญ่จึงไม่สามารถสวมใส่เสื้อยืดยุค 80 ตัวเล็ก ๆ เหล่านั้นได้ ซึ่งคุณไม่พบขนาดเหล่านี้(2XL & 3XL) มากนักเพราะไซส์ใหญ่เหล่านี้ไม่ได้ถูกผลิตออกมาในช่วงต้นทศวรรษที่ 80 แต่เกิดขึ้นในปี 84-85

3D Emblem และ Harley เกี่ยวกันอย่างไร?

เมื่อ Harley Davidson เข้าควบคุมการออกใบอนุญาต และพวกเขาร่วมมือกับบริษัทประมาณสิบแห่ง ส่วน3D Emblemนั้น เป็นหนึ่งในผู้ขายที่ “ได้รับอนุญาต” รายแรกๆ ที่ขายสินค้า Harley ต่อมาในช่วงต้นทศวรรษที่ 1990 และราว ๆ ปี 94 ป้าย 3D ได้เลิกผลิตเสื้อเพราะ Harley ยึดทุกอย่างคืนรวมถึงลิขสิทธิ์

เรื่องราวของ Trucker’s Only คืออะไร?

Truckers Only (รถบรรทุกเท่านั้น) เป็นแบรนด์แยกย่อยของ 3D Emblem พวกเขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับ Harley Davidson และถือกำเนิดขึ้นในราวปี 1985 ตามชื่อที่บ่งบอกว่าพวกเขามุ่งเน้นไปที่กราฟิกกึ่งรถบรรทุกเกือบทั้งหมด และขายให้กับสถานที่พักรถบรรทุกเป็นส่วนใหญ่ในอเมริกาซึ่งรังสรรค์โดยนักศิลปคนเดียวกันที่Fort Worth

จุดเด่นของเสื้อยืด3D อยู่ตรงไหน

สิ่งที่ฉันรวบรวมมาตลอดหลายปีนั้นดูเหมือนว่าจะแตกต่างจากสิ่งที่ผู้คนนิยมกันเล็กน้อย ความสนใจพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วจากนักสะสมในประเทศไทย สิ่งต่าง ๆ มีการพัฒนาไปตามกาลเวลา แต่ปัจจุบัน เสื้อสกรีนหน้าหลังกลายเป็นของสะสมมากขึ้น และ3D ได้นำเสนอแบบสกรีนด้านหลังพร้อมข้อความที่ใช้แทนกันได้ขึ้นอยู่กับตัวแทนจำหน่ายและชื่อสถานที่ ฯลฯ ปัจจุบันลายธงชาติอเมริกันไขว้เป็นที่ต้องการมากขึ้น กราฟิกด้านหลังมีให้ 3 สี ขาว เหลือง และแดง สีแดงดูเหมือนจะเป็นสีที่สกรีนออกมาน้อยกว่าอีกสองสี ส่วนกราฟิกอื่น ๆ ที่มีภาพประกอบของผู้คนก็เป็นที่นิยมมากเช่นเดียวกัน แม้ว่าลายที่มีธงไขว้อเมริกาจะมีความยากเย็นในการโพสต์ขายทางแพลตฟอร์มออนไลน์อยู่พอควร แต่3Dลายธงชาติก็ยังเป็นลายที่นักสะสมปราถณาอย่างแรง

3D Emblem เป็นที่นิยมในประเทศไทยและมาเลเซียมาโดยตลอดหรือไม่?

เสื้อยืด3Dได้รับความนิยมอย่างมากในญี่ปุ่นประมาณปี 2010 แต่ไม่ได้มีราคาสูงมากทางออนไลน์แม้ว่าพวกเขานำหน้าเทรนด์ แต่เมื่อเวลาเปลี่ยนไป ประเทศอื่นๆในเอเชียก็มีราคาที่เพิ่มขึ้นส่วนความสนใจของชาวญี่ปุ่นก็ลดลง ส่วนไทยและมาเลเซียนั้นรวบรวมและขายเสื้อ3Dมาเป็นเวลานานมากแล้วครัช(ใครบอกได้ช่วยบอกทีว่าปีไหน)

3D Emblem เป็นมาตรฐานระดับทองคำสำหรับเสื้อยืด Harley วินเทจหรือไม่?

กราฟิกรุ่นเก่าของ Harley เป็นที่ต้องการอย่างมาก แต่คุณภาพไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกับ 3D Emblem ซึ่งสามารถคิดค้นและผลิตออกมาจำนวนมากได้ เมื่อเปรียบเทียบกับการขายส่งอื่นๆ ที่ได้รับลิขสิทธิ์แล้ว กราฟิกของพวกเขาชัดเจนกว่ามากและมีคุณภาพสูงกว่าเช่นเดียวกัน พวกเขายังจ้างศิลปินมากความสามารถมากมาย ศิลปินกลุ่มใหญ่นี้ซึ่งส่วนใหญ่อยู่กับบริษัทมาเป็นเวลาหลายปีนั้นไม่ธรรมดา และทำให้ 3D Emblem สามารถสร้างศิลปะแห่งกราฟิกที่มีคุณภาพสูงได้

GOD knows best

ขอขอบคุณ https://www.vtgclub.com/

ที่มา

เสื้อยืดมือสอง | เสื้อยืดวินเทจ | เสื้อยืดกระสอบ | เสื้อวินเทจลายการ์ตูน | เสื้อแขนจั๊มวินเทจ | เสื้อยืดผ้าพื้นวินเทจ | เสื้อยืดกระเป๋าหน้าวินเทจ  |เสื้อวงวินเทจ เสื้อยืดผ้าบางวินเทจ | ผ้า50/50 ผ้า100 | ตะเข็บเดี่ยว | ตะเข็บคู่ | 60s’ | 70s’ | 80s’ | 90s’ |

Posted on

ประวัติและไทม์ไลน์ของป้าย Tee Jays : 1976-2002 | เสื้อยืดมือสอง

ป้ายTee Jays ก่อตั้งขึ้นในปี 1976 โดย Terry Wylie และ Jim Morris (T+J) โดยเริ่มต้นจากการเป็นบริษัทการพิมพ์สกรีนที่มีพนักงาน 8 คน แต่ได้ขยายกิจการอย่างรวดเร็วด้วยพนักงานกว่า 4,000 คนและมีโรงงานผลิต 19 แห่ง

1976-1985

1978
1979

1983

เราเริ่มเห็นรูปแบบต่างๆ ของแบรนด์ Tee Jay รวมทั้ง Hef-T และ Selec-T

1981-1985

1986-1990

ปลายปี 1985 เป็นช่วงที่มีการเปิดตัวโลโก้ใหม่

1986-1989 (บางแบบมีมาจนถึงปี2002)

1986-1989

1991-2002

ในช่วงต้นทศวรรษ 90 Tee Jays ได้มีการจับมือกันกับแบรนด์ดังๆอย่าง Planet Hollywood, Warner Bros, Harley Davidson, Giant, Trench, Gold’s Gym และ Disney ซึ่งมีเลข RN#53750 กำกับอยู่ที่เสื้อยืดจำนวนมากในยุคนี้ สิ่งที่ควรคำนึงถึงในช่วงเวลานี้ คุณจะพบเสื้อยืดจำนวนมากจากปี 1993-1995 ที่ตอกปี 1991

1994

1992-1994

1994

น่าเสียดาย สาเหตุหลักมาจาก NAFTA ทำให้Tee Jays ต้องประกาศล้มละลายในปี 1995 และ Terry Wylie ถูกบังคับให้ขายทรัพย์สินส่วนใหญ่ของพวกเขา Tee Jays ได้ลดขนาดธุรกิจลงมากและยังดำเนินต่อไปในสหรัฐอเมริกาจนถึงปี 2002 ปัจจุบันTee Jays มีเจ้าของเป็นชาวเดนมาร์ก 100% และยังคงดำเนินธุรกิจภายใต้ชื่อ Tee Jays ต่อไป

GOD knows best

ที่มา

🎯🎯 เสื้อTeejayในร้าน🎯🎯

เสื้อยืดมือสอง | เสื้อยืดวินเทจ | เสื้อยืดกระสอบ | เสื้อวินเทจลายการ์ตูน | เสื้อแขนจั๊มวินเทจ | เสื้อยืดผ้าพื้นวินเทจ | เสื้อยืดกระเป๋าหน้าวินเทจ  |เสื้อวงวินเทจ เสื้อยืดผ้าบางวินเทจ | ผ้า50/50 ผ้า100 | ตะเข็บเดี่ยว | ตะเข็บคู่ | 60s’ | 70s’ | 80s’ | 90s’ |

Posted on

หลักการประเมินราคาเสื้อวินเทจ | เสื้อยืดวินเทจ

การเลือกซื้อเสื้อยืดวินเทจมาใส่สักตัวนั้นต้องมีวิธีการตรวจสอบดูจากหลายๆปัจจัยมาประกอบกัน ไม่ใช่ว่าเห็นลายเดียวกันกับที่คนส่วนใหญ่เค้าเล่นกันแล้วจะมีราคาเหมือนกันกับของเค้า…ปล่าวเลย ! แต่เรายังต้องพิจารณาจากหลายๆส่วนประกอบของเสื้อตัวนั้นด้วยเช่นกันครับ

1.สภาพ

เช่นเดียวกับของสะสมส่วนใหญ่ที่..สภาพ เป็นปัจจัยที่สำคัญ เสื้อยืดเป็นเรื่องที่แตกต่างกันมันเป็นเหมือนการสะสมเหรียญเล็กน้อยเนื่องจากผู้ซื้อมักไม่สนใจคราบบนเสื้อหากมันดูไม่น่าเกลียดจนเกินไป คนส่วนใหญ่จับจ้องไปที่สินค้าค้างสต็อก เนื่องจากได้สินค้าที่ใหม่ในสไตน์เก่าๆ แต่บางคนถือว่าตำหนิคือตำนาน ตรงนี้แล้วแต่คนคิดและยึดกันครับ อย่างไรก็ตามเสื้อที่ใส่จนบางเห็นถึงข้างในส่วนใหญ่พบได้จากผ้า50/50 ที่เกิดจากการแยกออกของสองเนื้อผ้าหรือเรียกกันว่าผลัดเนื้อ ยิ่งมีราคาในสายตาวัยรุ่นวินเทจครับ เพราะสวยแบบคลาสสิคและใส่สบายมากๆ ส่วนรูหรือคราบสกปรกเปื้อนที่ซักออกยากอาจลดมูลค่าของเสื้อได้ในสายตาคนทั่วไปแต่ไม่ใช่ทุกคนครับ แต่อย่างไรก็ตามเสื้อยืดตัวไหนที่ไม่มีตำหนิแถมยังมีป้ายระบุรายละเอียดชัดเจนถือว่าสมบูรณ์ในแง่ของสภาพครับ

2.ขนาด

ขนาดของเสื้อยืดเป็นปัจจัยอย่างหนึ่งอาจส่งผลต่อมูลค่าอย่างมาก หากซื้อไปแล้วใส่ไม่ได้หรือใส่แล้วรู้สึกไม่สะดวกถึงแม้จะชอบขนาดไหนก็อาจจะมีเปอร์เซ็นที่จะตัดสินใจไม่ซื้อสูง เว้นแต่จะซื้อไปตกแต่งฝาผนัง เนื่องจากเสื้อผ้าที่ผลิตเมื่อหลายสิบปีก่อนนั้นมีขนาดเล็กกว่าปัจจุบันสาเหตุเนื่องจากมนุษย์นั้นมีขนาดใหญ่ขึ้น (ให้ตายสิ McDonald’s!) ขนาดอกเสื้อที่มีแนวโน้มว่าจะเป็นความต้องการของคนส่วนใหญ่จะอยู่ระหว่าง 19 นิ้ว – 21 นิ้ว เนื่องจากไม่คับหรือหลวมจนเกินไปสำหรับคนไทย 19นิ้วอาจจะพูดได้ว่าอกหล่อสำหรับคนที่ชอบใส่แบบรัดรูปนิดๆ

ส่วน 21นิ้ว ขึ้นไปเป็นขนาดแบบสบายๆของคนหุ่นมาตรฐาน ฉะนั้นขนาดจึงเป็นหนึ่งปัจจัยที่มีความสำคัญมากเช่นกัน แต่ก็มีข้อดีสำหรับคนที่หุ่นเล็กหรือใหญ่กว่ามาตรฐานนะครับเพราะจะได้ไม่ต้องมีคู่แข่งมากนักเวลาจะประมูลเสื้อยืดโดนๆสักตัวมาครอบครอง

4.เนื้อผ้า

ประเภทของเนื้อผ้าที่พบโดยส่วนใหญ่แล้วมีอยู่3 ประเภทหลักๆคือ ผ้า100เก่า ผ้า50/50 และผ้า3เนื้อเรยอน แต่ที่ไม่เอ่ยถึงก็มีอีกเยอะเช่นกันครับ หากพูดถึงผ้าเรยอน 3 เนื้อคงไม่มีใครปฏิเสธว่าไม่น่าสวมใส่เพราะด้วยความนิ่มและบางของผ้าทำให้เป็นที่ต้องการของวัยรุ่นเสื้อยืดวินเทจ แค่เสื้อยืดสภาพดีผ้าสามเนื้อเรยอนเปล่าๆที่ไม่มีสกรีนลายก็ปาเข้าไปหลักพันแล้วครับ อย่างที่2คือผ้า50/50 ก็เป็นที่นิยมเช่นกันเนื่องด้วยสวมใส่สบายบางเบา ไม่ยับง่ายแถมใส่ไปนานๆเนื้อผ้ายิ่งสวย เห็นเนื้อในแม้กระทั่งเนื้อในคนสวมใส่ อิอิ ส่วนผ้า100เก่าคือผ้าฝ้าย100แบบเก่าที่มีลักษณะบางนิ่มน่าสวมใส่เช่นกัน ซึ่งต่างจากผ้าฝ้าย100รุ่นใหม่หลังยุคต้นปี2000 ที่เนื้อผ้าจะหยาบกระด้างกว่า ฉะนั้นเนื้อผ้าเป็นหนึ่งตัวแปรที่จะมาตัดสินว่าราคาของเสื้อตัวนึงควรจะอยู่ที่ราคาเท่าไหร่

5.ป้าย

การมีป้ายวินเทจสามารถเพิ่มมูลค่าให้กับเสื้อยืดได้ประการหนึ่ง เสื้อยืดไม่ได้ขาดชิ้นส่วนดั้งเดิมใดๆ ไป แต่มันสามารถช่วยรับรองความถูกต้องของเสื้อยืดได้  ป้ายบางป้ายมีแนวโน้มที่จะดึงดูดใจผู้เล่นเสื้อมากกว่าป้ายอื่นๆ ตัวอย่างเช่น ป้าย3d  ดูเหมือนว่าจะมีค่าไปโดยอัตโนมัติในหมู่นักสะสมบางคน ส่วนป้ายBrockum, Giant และ Winterland บอกถึงเสื้อยืดที่เกี่ยวกับวงการเพลงที่เป็นที่ต้องการของสาวกเสื้อยืดวินเทจครับ 

6.ยุค

ปัจจัยนี้อาจเป็นเรื่องยาก เนื่องจากบางคนอาจสรุปได้ว่าช่วงต้นทศวรรษ 1970 มีมูลค่ามากกว่าช่วงทศวรรษ 1980 อาจจะมีหลายตัวแปรที่ต้องพิจารณา ตัวอย่างเช่น เสื้อยืดจากยุค 70’s นั้นเล็กกว่าเสื้อยืดจากยุค 80’s ด้วยซ้ำ เสื้อยืดจากทศวรรษที่ 1960 และทศวรรษก่อนหน้านั้นมีมูลค่าเพิ่มมากขึ้นโดยอาศัยอายุและความหายาก แม้แต่เสื้อซับในจากช่วงเปลี่ยนศตวรรษก็สามารถเรียกโชคลาภได้ เสื้อยืดยุคต้นๆดึงดูดผู้ซื้อประเภทต่างๆ เช่น นักสะสมเสื้อผ้าวินเทจ บางคนยินดีจ่ายเงินจำนวนมากโดยพิจารณาจากความสำคัญทางประวัติศาสตร์และแฟชั่น บางทีพวกเขาอาจจะไม่เคยสวมใส่เสื้อตัวนั้นเลยหลังจากได้ไปครอบครอง

7.ประเภทการพิมพ์ สถานที่ สี และการออกแบบ

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าลายเสื้อยืดคือจุดขายของเสื้อ สิ่งแรกที่คนส่วนใหญ่มักสนใจคือลายนั่นเอง จากนั้นดูที่ผ้าหรือป้ายตามลำดับ ส่วนจะเป็นลายอะไรนั้นสามารถบ่งบอกถึงราคาเสื้อตัวนั้นได้เลยทีเดียว ยิ่งมีลายหน้าหลัง สกรีนสวยงามไม่ว่าจะเป็นลายวงดนตรีในกระแส หรือลายวิวแบบจมๆ(มองลายจากด้านในเสื้อยังเห็นลาย) ยิ่งมีราคาในสายตาของนักสะสมหรือสาวกวินเทจทุกท่าน

8.การตัดเย็บ

“ตะเข็บเดียว” ถูกพูดถึงอย่างมากหากพูดถึงเสื้อยืดวินเทจเพราะสามารถบ่งบอกถึงอายุของเสื้อตัวนั้นได้ในระดับหนึ่ง เพราะเสื้อยุคเก่า 70, 80 และต้นยุค 90 ส่วนใหญ่จะผลิตออกมาใช้การเย็บแบบตะเข็บเดี่ยวซึ่งเป็นเสน่ห์ของคำว่าเสื้อยืดวินเทจ 

9.อุปสงค์ อุปทาน และโฆษณาเกินจริง

วงดนตรีบางวงอย่าง Iron Maiden มีผู้ติดตามที่ภักดีอย่างมากมายซึ่งไม่เสื่อมสลายไปตามวัยและมีเสน่ห์ที่ส่งต่อไปยังคนรุ่นใหม่ เป็นผลในแง่ทั้งความต้องการที่จะครอบครองและมูลค่ามีความสม่ำเสมอและได้รับการสนับสนุนเป็นพิเศษเมื่อ Maiden ประกาศว่าพวกเขากำลังทัวร์คอนเสริต

10.ลายที่มีจำกัด

เมื่อพูดถึง Iron Maiden พวกเขามีแนวทางที่ยอดเยี่ยมในการออกแบบเสื้อยืดอยู่เสมอ Maiden สกรีนเสื้อยืดทัวร์กลุ่มเล็ก ๆ ที่ได้รับการปรับแต่งสำหรับแต่ละประเทศ รัฐ หรือแม้แต่เมืองที่พวกเขาเล่น เป็นผลให้มีของน้อยและจำกัดของการออกแบบแต่ละรายการและนักสะสมบางคนต้องการเป็นเจ้าของแต่ละรูปแบบ

11.ที่มา ชื่อเสียง และลายเซ็น

หากผู้มีชื่อเสียงเคยสวมเสื้อยืดวินเทจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบุคคลคนนั้นได้ตายไปแล้ว ค่าของมันนั้นสามารถทะลุเพดานได้ เชื่อหรือไม่ เสื้อยืดวินเทจพร้อมลายเซ็นมีค่าน้อยกว่าเสื้อที่ไม่ได้ลงนามอย่างมาก ใช่ มีข้อยกเว้นมากมายสำหรับกฎนี้ – ส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับว่าใครเป็นผู้ลงนามและความหายากของลายเซ็น เสื้อยืดพร้อมลายเซ็นสามารถสวมใส่ได้ แต่ผู้ซื้อทราบดีว่าจะไม่สามารถซักได้ และเมื่อเซ็นลายเซ็นลงบนเสื้อแล้วอาจเป็นไปได้ว่าผู้ซื้อไม่กล้าซักเพราะกลัวลายเซ็นจะจางหายไป ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลยที่จะใส่เสื้อแล้วไม่เคยซักเลย55+ 

12.การออกใหม่ การทำซ้ำ(repro) และการปลอมแปลง

บางครั้งนักดนตรีมีการออกแบบที่คลาสสิกและออกวางจำหน่ายอีกครั้งผ่านทางเว็บไซต์ของพวกเขา หรือกระตุกบางอย่างที่ทำให้ eBay ท่วมท้นด้วยเสื้อยืดเถื่อนที่ออกแบบมาเพื่อหลอกล่อให้ผู้คนคิดว่ามันคือวินเทจ ฉะนั้นการทำซ้ำหรือของปลอมนั้นย่อมมีค่าไม่เท่าของแท้ที่ตรงยุคอย่างแน่นอน

สุดท้ายนี้ข้อมูลวิธีการประเมิณค่าเสื้อยืดวินเทจทั้งหมดนี้เป็นทัศนะของฝรั่งซึ่งกอปบกับความรู้ของผมอันน้อยนิด ก็พอจะช่วยให้ท่านทั้งหลายได้มีหลักเกณฑ์ในการตัดสินใจซื้อเสื้อยืดวินเทจสักตัวได้อย่างมั่นใจ แล้วไม่ใช่มารู้ทีหลังว่าโดนหลอกนะครับ!! ยิ่งไปกว่านั้นสิ่งที่ผู้เขียนหวังคืออยากให้เด็กรุ่นใหม่ๆที่สนใจได้มีแหล่งข้อมูลเพื่อการศึกษาหาความรู้ซึ่งอาจเป็นการสร้างฐานลูกค้าวินเทจประเทศไทยเราให้ใหญ่ขึ้นรุ่นต่อรุ่นอีกด้วย แถมยังเป็นสีสันแห่งการเรียนรู้ในสิ่งที่ชอบด้วยครับ

อย่างไรก็ตามเสื้อทุกตัวมีค่าในตัวของมันอยู่ที่ว่าใครจะให้ค่ามันมากแค่ไหน บางทีเสื้อตัวนึงอาจไม่ตรงกับหลักเกณฑ์ที่พูดข้างต้นสักข้อเลย แต่ท่านชอบเสื้อตัวนั้นท่านก็สามารถซื้อมันมาครอบครองได้โดยที่ไม่ต้องไปสนใจใคร เพราะการมีเสื้อวินเทจไม่ใช่มีไว้เพื่ออวดคนอื่น แต่เป็นความชอบ ความสบายใจสบายกายตอนที่เราได้สวมใส่และดูแลมันในทุกขั้นตอนของการใช้ชีวิตแบบคลาสสิคที่เรียบง่ายและมีเสน่ห์แบบรุ่นปู่ รุ่นพ่อคร้าบบบ

GOD knows best

ที่มา

ขอขอบคุณรูปภาพสวยๆจาก อัชหารี ยูโส๊ะกาเส็ม

เสื้อยืดมือสอง | เสื้อยืดวินเทจ | เสื้อยืดกระสอบ | เสื้อวินเทจลายการ์ตูน | เสื้อแขนจั๊มวินเทจ | เสื้อยืดผ้าพื้นวินเทจ | เสื้อยืดกระเป๋าหน้าวินเทจ  |เสื้อวงวินเทจ เสื้อยืดผ้าบางวินเทจ | ผ้า50/50 ผ้า100 | ตะเข็บเดี่ยว | ตะเข็บคู่ | 60s’ | 70s’ | 80s’ | 90s’ |

Posted on

ประวัติและไทม์ไลน์ของป้าย Anvil | เสื้อยืดวินเทจ

ต้นกำเนิดของAnvilสามารถสืบย้อนไปถึงแบรนด์ชุดซับในชายที่มีอายุ กว่า130 ปีที่รู้จักกันในนาม BVD ในปี 1976 เครื่องหมายการค้า BVD ถูกขายให้กับ Fruit of the Loom ดังนั้นบริษัทจึงเริ่มดำเนินการในชื่อว่า Anvil Knitwear นอกจากนี้ป้าย Ched ยังมีต้นกำเนิดมาจาก Anvil ก่อนปี 1976 เช่นกัน Anvil ถือว่าตัวเองเป็นหนึ่งในตัวเร่งปฏิกิริยาในวิวัฒนาการของเสื้อยืดในยุคนั้น

1976-1985

1979-1983

1984-1988

1985-1989

1986-1990

1988-1990

1989-1993

1991-1997

1992-1999

1993-1994

1996

1995-2003

ในปี 1995 Vestar Capital เข้าซื้อ Anvil เช่นเดียวกับบริษัทสิ่งทออื่นๆ อีกหลายแห่ง Anvil เริ่มผลิตนอกสหรัฐอเมริกาหลังจาก NAFTA

1994-1996

1999

1999-2003

1999-2003

2004 ปัจจุบัน

ในปี 2004 CAFTA ได้ลดอัตราภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ ให้กับคอสตาริกา เอลซัลวาดอร์ กัวเตมาลา ฮอนดูรัส นิการากัว และสาธารณรัฐโดมินิกัน สนับสนุนให้บริษัทสหรัฐผลิตสินค้าที่นั่น ในปี 2006 Anvil ยื่นฟ้องล้มละลาย ในปี 2012 Anvil ถูกซื้อกิจการโดย Gildan

2004-2006

2006-2013

2014

2015 – ปัจจุบัน

🎯🎯 เสื้อanvilในร้าน🎯🎯

แหล่งที่มา

https://www.defunkd.com/blog/2010/07/29/anvil/

God knows best.

เสื้อยืดมือสอง | เสื้อยืดวินเทจ | เสื้อยืดกระสอบ | เสื้อวินเทจลายการ์ตูน | เสื้อแขนจั๊มวินเทจ | เสื้อยืดผ้าพื้นวินเทจ | เสื้อยืดกระเป๋าหน้าวินเทจ  |เสื้อวงวินเทจ เสื้อยืดผ้าบางวินเทจ | ผ้า50/50 ผ้า100 | ตะเข็บเดี่ยว | ตะเข็บคู่ | 60s’ | 70s’ | 80s’ | 90s’ |

Posted on

ประวัติย่อของป้าย Spring Ford & Touch of Gold | เสื้อยืดวินเทจ

ยุค: ปลายยุค 70 ถึง 1990

เสื้อยืดแบรนด์นี้ถือกำเนิดขึ้นในช่วงปลายทศวรรษ 1970 โดยเป็นเสื้อยืดเปล่าผ้าพื้นสำหรับใช้งานทั่วไป ในช่วงกลางทศวรรษ 1980 Spring Ford ได้มีความสัมพันเชิงพาณิชน์กับวงการเพลง และพวกเขาได้เปลี่ยนจุดขายให้กลายเป็นหนึ่งในตัวเลือกยอดนิยมสำหรับเสื้อยืดร็อคตลอดทศวรรษ ป้ายแบรนด์นี้หายไปในช่วงกลางปี 1990 แต่ไม่ใช่ก่อนที่จะซื้อแบรนด์ Touch of Gold ในช่วงต้นทศวรรษ 

ส่วนป้าย Touch of Gold นั้น ถือกำเนิดขึ้นช่วงปี 80 และค่อยๆหายไปช่วงปี 90 ซึ่งเป็นช่วงเวลา 10 กว่าปีอันสั้น สิ่งเดียวที่เราสามารถยืนยันได้ก็คือแบรนด์นี้ถูกซื้อไปโดย Spring Ford และกลายเป็นแบรนด์สาขาของ Spring Ford ในช่วงต้นปี 1990 เมื่อถึงจุดนั้นเครื่องหมายเล็กๆเหมือนคล้ายๆกับ Auntie Anne’s ขนาดเล็กที่มักพบอยู่เหนือโลโก้ก็หลุดออกจากแท็ก และถูกแทนที่ด้วยคำว่า by Spring Ford แทน

แหล่งที่มา

https://www.defunkd.com/blog/2010/03/01/springford-brand/

https://www.defunkd.com/blog/2011/04/20/touch-of-gold/

God knows best.

เสื้อยืดมือสอง | เสื้อยืดวินเทจ | เสื้อยืดกระสอบ | เสื้อวินเทจลายการ์ตูน | เสื้อแขนจั๊มวินเทจ | เสื้อยืดผ้าพื้นวินเทจ | เสื้อยืดกระเป๋าหน้าวินเทจ  |เสื้อวงวินเทจ เสื้อยืดผ้าบางวินเทจ | ผ้า50/50 ผ้า100 | ตะเข็บเดี่ยว | ตะเข็บคู่ | 60s’ | 70s’ | 80s’ | 90s’ |

Posted on

16คำถามคาใจเกี่ยวกับเสื้อผ้าวินเทจ| เสื้อยืดแนววินเทจ

  1. เสื้อยืดป้ายปั๊มคอเริ่มต้นเมื่อใด ?

ป้ายปั๊มคอเริ่มเปิดตัวแรกๆจำนวนมากในปี 2002 โดย Hanes หนึงจากแบรนด์หลักรุ่นบุกเบิก โดยมีMichael Jordan เป็นโฆษกของ Hanes โดยมีการแจ้งให้เราทราบว่าทุกอย่างจะโอเคโดยไม่มีป้ายห้อย

2. ใครเป็นผู้คิดค้นป้ายปั๊มคอ?

Hanes ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ Sara Lee Corporation ได้คิดค้นเสื้อยืดแบบป้ายปั๊มคอ โดยพบว่าป้ายเล็กๆ ที่เย็บติดเข้ากับคอเสื้อตั้งแต่ปี 1920 ระคายเคืองผิวหนังของผู้สวมใส่ 

3.เสื้อยืดลายกราฟิกเริ่มเมื่อไหร่?

เสื้อยืดลายกราฟิกเริ่มเป็นที่นิยมครั้งแรกในปี 1960 เมื่อมีการคิดค้นหมึกพิมพ์ใหม่ๆ ซึ่งทำให้กระบวนการพิมพ์ง่ายขึ้น

4.ตัวเลข RN เริ่มต้นเมื่อใด ?

หมายเลข Registration Number RN ถูกใช้ครั้งแรกในปี 1952 และแสดงตั้งแต่ 00101 (หมายเลขแรก) ถึง 04086 (หมายเลขสุดท้าย)  และหลังปี 1959 ระบบการนับได้เปลี่ยนไปและเริ่มที่ 13670 เป็นต้นมา

5.เสื้อยืดพิมพ์ลายเป็นที่นิยมเมื่อใด ?

ในทศวรรษที่ 1960 เสื้อยืดพิมพ์ลายได้รับความนิยมในการแสดงออกในรูปแบบ การโฆษณา การประท้วง และของที่ระลึก ปัจจุบันนี้มีให้เลือกหลายแบบหลายสไตล์รวมถึงเสื้อคอกลมและคอวี เสื้อยืดเป็นหนึ่งในเสื้อผ้าที่สวมใส่มากที่สุดในปัจจุบัน

6.ใครเป็นผู้คิดค้นเสื้อยืด?

เริ่มจากการประดิษฐ์เครื่องถักเชิงพาณิชย์โดย William Cotton นักประดิษฐ์ชาวอังกฤษในปี 1864 ได้นำเสื้อยืดมาสู่คนทั่วไป ซึ่งช่วงเวลานั้นมีการเริ่มทำงานวันหยุดสุดสัปดาห์ที่ได้รับค่าจ้าง ซึ่งทำให้พนักงานมีสิทธิ์เลือกที่จะสวมใส่เสื้อผ้าที่ใส่สบายๆในวันหยุดได้ เสื้อยืดจึงเป็นตัวเลือกแรกๆ ต่อมาในปี 1901 บริษัท P. Hanes Knitting Company ได้เปิดตัวชุดชั้นในแบบสองชิ้นที่ดูคล้ายกับเสื้อยืดสีขาวในปัจจุบัน ชุดนี้สวมใส่โดยทหารในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่งเป็นชุดชั้นใน เดิมทีเสื้อยืดถูกมองว่าเป็นชุดชั้นในเท่านั้น ซึ่งหมายความว่าการสวมใส่ในที่สาธารณะอาจดูแปลกตาในสายตาผู้คน

7.เสื้อยืด Bootleg คืออะไร?

Bootlegs แปลว่าเถื่อน ซึ่งเป็นสินค้าเถื่อนสมัยใหม่ที่ไม่ได้รับอนุญาต แต่มีการออกแบบมาตามแบบดั้งเดิม พวกเขาไม่ได้พยายามลอกเลียนแบบการออกแบบเสื้อยืดวินเทจ แต่เป็นการออกแบบที่ได้รับแรงบันดาลใจจากวินเทจ ตัวอย่างเช่นสไตล์แร็พ ผู้สวมใส่เสื้อยืดวินเทจสมัยใหม่ให้การยอมรับเสื้อยืดประเภทนี้โดยทั่วไป

8.อะไรคือ Deadstock Vintage หรือ NOS (New Old Stock)?

ใช้เพื่ออธิบายเสื้อยืดที่ผลิตออกมาในยุคอื่นและกลายเป็นสินค้าค้างในสต็อก/ขายไม่ออก และมักจะจบลงที่การจัดเก็บ ส่วนใหญ่มักอยู่ในสภาพเฟี้ยว อย่างไรก็ตาม บางครั้งสภาพการเก็บรักษาและการไม่ผ่านการซักมาก่อนงอาจส่งผลเสียต่อสภาพได้(ผ้าตาย)

9.ผ้าบางคือ (Paper-Thin / See-Through)?

ซึ่งมักจะอธิบายเสื้อยืดวินเทจ 50/50 ที่ได้รับการซักและสวมใส่อย่างหนักจนส่วนผ้าฝ้ายของเส้นใยลดลงและบางขึ้นทำให้สวมไส่สบายสำหรับประเทศแถบร้อนแบบบ้านเรา

10.ผ้าตายคือ (Dry Rot / Acid Rot / Sulfer Rot) ?

ผ้าตาย เป็นปฏิกิริยาเคมีที่ส่งผลต่อเสื้อยืดผ้าฝ้าย 100% สีดำ หมึกจะกัดกร่อนเส้นใยและอ่อนตัวลงเนื่องจากระดับค่า pH/ความเป็นกรดสูง ในบางกรณีอาจฉีกขาดได้เหมือนกระดาษ

11.ผ้า 50/50 คือ ?

คือเสื้อยืดที่มีส่วนผสมของผ้าสองชนิดในอัตราที่เท่ากัน 50% cotton และ 50% polyester แห้งเร็วยับยาก ไม่หนาจนเกินไป เป็นที่นิยมของวัยรุ่นไทยส่วนใหญ่ทางภาคใต้ของไทย

12.ผ้าสามเนื้อคือ (Tri-Blend)?

เป็นเสื้อยืดที่มีเส้นใย 3 แบบ มักผสมโพลีเอสเตอร์ 50% ผ้าฝ้าย 35% และเรยอน 15%..13%  หรือ 12%

13.เรยอนผสม (Rayon-Blend)?

เป็นเสื้อยืดที่ผสมผ้าฝ้าย 88% ผสมเรยอน 12% ส่วนใหญ่สามารถพบได้จากเสื้อยือของ Champion บางตัว

14.เสื้อสามส่วน  คือ (Jersey / Raglan) ?

เสื้อยืดประเภทนี้มักมีช่วงแขนสีต่างกัน โดยมีความยาว 3/4 และอาจมีชายเสื้อด้านล่างที่ไม่เป็นเส้นตรง พวกเขาได้รับแรงบันดาลใจจากเสื้อเชิ้ตวอร์มอัพที่ผู้เล่นเบสบอลสวมใส่

15.เสื้อยืดกระเป๋าหน้า (Pocket-Tee)?

หมายถึงเสื้อยืดที่มีกระเป๋าเล็กๆ โดยทั่วไปแล้วจะอยู่เหนือหน้าอกด้านซ้าย

16.เสื้อแขนจั๊ม (Ringer) ?

เสื้อยืดแขนจั๊มจะมี “วงแหวน” สังเกตุได้จากสีที่ต่างกันกับตัวเสื้อที่ช่วงคอและแขนที่ขมวดเข้ามาเล็กน้อย โดยทั่วไปแล้วแขนจะพอดีเช่นกันโดยมีช่องเปิดที่เล็กกว่า ตัวอย่างเช่น เสื้อยืดสีขาวอาจมีคอปกสีแดงและตะเข็บที่แขน

แหล่งอ้างอิง

Vintage T-Shirt Terminolgy and Definitions

About T-Shirt Tags Or There Lack Of

T-shirt History: From Undershirts to Custom Screen Prints

When did Graphic T-Shirts Rose to Fame

13 Tips for Identifying Vintage Clothing Labels & Tags

T-shirt

A style icon with history

GOD knows best

เสื้อยืดมือสอง | เสื้อยืดวินเทจ | เสื้อยืดกระสอบ | เสื้อวินเทจลายการ์ตูน | เสื้อแขนจั๊มวินเทจ | เสื้อยืดผ้าพื้นวินเทจ | เสื้อยืดกระเป๋าหน้าวินเทจ  |เสื้อวงวินเทจ เสื้อยืดผ้าบางวินเทจ | ผ้า50/50 ผ้า100 | ตะเข็บเดี่ยว | ตะเข็บคู่ | 60s’ | 70s’ | 80s’ | 90s’ |

Posted on

ประวัติร่วมสมัยของ HANES | เสื้อยืดวินเทจ

ยุค: 1901 ถึงปัจจุบัน

ในปี 1901 Hanes Knitting Company ได้ก่อตั้งขึ้นเพื่อผลิตชุดชั้นในสำหรับผู้ชาย ตลอดกลางปี 1970 ผู้บริหารของบริษัทพบว่าผลิตภัณฑ์เสื้อยืดชั้นในสีขาวของบริษัทถูกนำมาสกรีนลายเพื่อสวมใส่เป็นเสื้อยืดภายนอกแบบธรรมดาทั่วไป

ด้วยเหตุนี้ Hanes จึงมองเห็นศักยภาพของเสื้อยืดสีขาวชั้นในและเริ่มขายมัน ดังนั้น กลุ่มผลิตภัณฑ์เสื้อยืด Hanes 5000 จึงได้รับการพัฒนาและเริ่มจำหน่ายให้กับผู้ที่นำไปสกรีนลาย

ไม่กี่ปีต่อมา บริษัทได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ของพวกเขาที่รู้จักกันในชื่อ Hanes Beefy-T® ซึ่งเป็นเสื้อยืดที่มีน้ำหนักมากกว่าและกว้างกว่า ได้รับการพัฒนาโดยเฉพาะสำหรับอุตสาหกรรมการพิมพ์สกรีนที่กำลังเติบโต ต่อมาในปีเดียวกันนั้น บริษัทสามารถพัฒนาเครื่องสกรีนที่เรียกว่า ‘screen printer fold’ ซึ่งช่วยลดต้นทุนและการจัดการบรรจุภัณฑ์แต่ละรายการ

Hanes Knitwear : แผนกแยกย่อย

บริษัทได้กลายเป็นหน่วยงานที่แยกจากกันของ Hanes Knitwear และเป็นที่รู้จักในชื่อ Hanes Printables ในปี 1980 แผนกใหม่นี้จัดทำขึ้นเพื่อการผลิตและจัดจำหน่ายเสื้อยืดโดยเฉพาะ ซึ่งสามารถสกรีนร่วมกับเครื่องแต่งกายอื่นๆได้  HanesKnitwear รุ่นดั้งเดิมกลายเป็นส่วนหนึ่งของผลิตภัณฑ์อุปโภคบริโภคที่มีตราสินค้าของ Sara Lee Corporation

การมีส่วนร่วมของ Hanes ในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกที่ Atlanta 1996

การแข่งขันกีฬาโอลิมปิกที่ Atlanta ปี 1996 ได้ว่าจ้างบริษัทให้เป็นผู้สนับสนุนหลัก Hanes สามารถผลิตเสื้อยืด Hanes Beefy รุ่นดั้งเดิมซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของ 500 วันก่อนการเปิดงานโอลิมปิค เสื้อยืดหมายเลข 1 ถูกประมูลในราคา 32,500 ดอลลาร์ เงินที่ใช้ในการซื้อตั๋วการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกสำหรับเด็กที่ด้อยโอกาส

Hanes ฉลองครบรอบ 25 ปี

Hanes มีอายุครบ 25 ปีในปี 2000 ในช่วง 25 ปีที่ผ่านมา เสื้อยืดรุ่นดั้งเดิมของบริษัทเป็นที่ต้องการของลูกค้าประจำ อันที่จริง การวิจัยพบว่าบุคคลที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไปแต่ละคนซื้อเสื้อยืดอย่างน้อยสี่ตัวทุกปี เนื่องจากความสำเร็จของเสื้อยืดของพวกเขา บริษัทได้เฉลิมฉลองการซื้อเสื้อยืด Hanes Beefy ครบจำนวนหนึ่งพันล้านตัว ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงเฉลิมฉลองด้วยการชิงโชคสำหรับ ‘Beefy-T’ PT Cruiser

แคมเปญ ‘Go Tagless’

บริษัทได้รับนวัตกรรมใหม่อีกครั้งในปี 2004 เมื่อพวกเขาเริ่มการเคลื่อนไหวที่เรียกว่า ‘Go Tagless’ ซึ่งเปิดตัวบนเสื้อยืด Hanes ของแท้ของพวกเขา แคมเปญนี้ขจัดป้ายคอที่ระคายเคืองที่มากับเสื้อยืดธรรมดา

Hanesbrands Inc. แบรนด์ที่แยกจากกัน

หลังจากเป็นหุ้นส่วน 26 ปีกับ Sara Lee Corporation ในที่สุดบริษัทก็สามารถเป็นอิสระได้ในวันที่ 26 กันยายนปี  2006 แบรนด์ดังกล่าวกลายเป็นที่รู้จักในชื่อ Hanesbrands Inc. พวกเขาก่อตั้งสำนักงานใหญ่ในเมืองวินสตัน-เซเลม รัฐนอร์ทแคโรไลนา และสามารถ มีพนักงานมากกว่า 50,000 คนทั่วโลก

ปัจจุบันบริษัทนี้เป็นเจ้าของแบรนด์เครื่องแต่งกายหลายแบรนด์ เช่น Hanes, Champion, Playtex, Just My Size, Barely There, Wonderbra, L’eggs และอื่นๆ อีกมากมาย

🎯🎯 เสื้อhanesในร้าน🎯🎯

ป้ายตามยุค(อ้างอิง [1] [2])

ที่มา

GOD knows best

เสื้อยืดมือสอง | เสื้อยืดวินเทจ | เสื้อยืดกระสอบ | เสื้อวินเทจลายการ์ตูน | เสื้อแขนจั๊มวินเทจ | เสื้อยืดผ้าพื้นวินเทจ | เสื้อยืดกระเป๋าหน้าวินเทจ  |เสื้อวงวินเทจ เสื้อยืดผ้าบางวินเทจ | ผ้า50/50 ผ้า100 | ตะเข็บเดี่ยว | ตะเข็บคู่ | 60s’ | 70s’ | 80s’ | 90s’ |

Posted on 1 Comment

ประวัติสั้นๆของป้าย Ched | เสื้อยืดวินเทจ

ยุค: กลางทศวรรษ 1970 ถึงปลายทศวรรษ 1980

ไม่ค่อยมีใครรู้จักป้าย Ched ตามรูปแบบต่างๆ ของป้าย มีแนวโน้มว่า Anvil จะซื้อมาในช่วงปลายยุค 80 ซึ่งท้ายที่สุดก็เข้ามาแทนที่แบรนด์ Ched ด้วยแบรนด์ของตัวเอง Anvil Knitwear ยังคงดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน

ตัวอย่างป้ายด้านล่างถูกออกแบบมา ตั้งแต่ช่วงปลายทศวรรษ 1970 ถึง 1990

ที่มา

GOD knows best

เสื้อยืดมือสอง | เสื้อยืดวินเทจ | เสื้อยืดกระสอบ | เสื้อวินเทจลายการ์ตูน | เสื้อแขนจั๊มวินเทจ | เสื้อยืดผ้าพื้นวินเทจ | เสื้อยืดกระเป๋าหน้าวินเทจ  |เสื้อวงวินเทจ เสื้อยืดผ้าบางวินเทจ | ผ้า50/50 ผ้า100 | ตะเข็บเดี่ยว | ตะเข็บคู่ | 60s’ | 70s’ | 80s’ | 90s’ |

Posted on

ประวัติสั้นๆของป้าย Russell | เสื้อยืดวินเทจ

ยุค: 1902-ปัจจุบัน

Russell ก่อตั้งในปี ค.ศ. 1902 โดยมีเครื่องถักและจักรเย็บผ้าจำนวนเล็กน้อย – ผลิตภัณฑ์แรกของรัสเซลคือเสื้อกล้ามสำหรับสตรี ไม่นานหลังจากที่พวกเขาเพิ่มชุดชั้นในตัวยาว เสื้อกันหนาว และเสื้อกีฬาเข้าไปเป็นส่วนผสมของผลผลิต บริษัทมีการเติบโตอย่างมากในช่วงหลายทศวรรษ และในปี 1983 พวกเขาได้สร้างส่วนขยายแบรนด์ที่เรียกว่า JERZEES ขึ้นมาซึ่งเป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์กีฬาและเสื้อยืดพื้นฐานทั่วไป ในช่วงปลายยุค 90 บริษัทเหล่านี้อยู่ในอันดับที่ 5 ของบริษัทเครื่องแต่งกายจากนิตยสาร Fortune 500

ป้ายตามยุค(อ้างอิง)

🎯🎯 เสื้อRussellในร้าน🎯🎯

ที่มา

GOD knows best

เสื้อยืดมือสอง | เสื้อยืดวินเทจ | เสื้อยืดกระสอบ | เสื้อวินเทจลายการ์ตูน | เสื้อแขนจั๊มวินเทจ | เสื้อยืดผ้าพื้นวินเทจ | เสื้อยืดกระเป๋าหน้าวินเทจ  |เสื้อวงวินเทจ เสื้อยืดผ้าบางวินเทจ | ผ้า50/50 ผ้า100 | ตะเข็บเดี่ยว | ตะเข็บคู่ | 60s’ | 70s’ | 80s’ | 90s’ |

Posted on 1 Comment

ประวัติความเป็นมาของ  Fruit of the Loom | เสื้อยืดวินเทจ

ยุค: 1800 – ปัจจุบัน

ในวงการเสื้อวินเทจคงไม่มีใครไม่รู้จักเสื้อยืดวินเทจป้ายฟรุตเพราะเป็นป้ายที่พบเห็นบ่อยพอๆกับป้าย Screen star  ย้อนกลับไปเมื่อ20กว่าปีก่อนผมได้ยินคำนี้คำแรกโดยเพื่อนๆที่เดินเที่ยวตลาดนัดคลองแงะพร้อมกันเรียกว่าเสื้อป้ายฟรุต อะไรว่ะ ป้ายฟรุต! พอจำได้ตอนเรียนประถมคำว่าฟรุตคือผลไม้ ก็คือน่าจะเป็นเสื้อป้ายผลไม้ คือจะมีผลไม้อยู่กองนึงดูเหมือนเยอะแต่พอดูดีๆมีผลไม้อยู่แค่สองถึงสามชนิดเท่านั้น นั่นคือ แอปเปิ้ล องุ่นเขียวและแดง ส่วนสีเหลืองดูเหมือนว่าจะเป็นลองกอง ถ้ามีทุเรียนหมอนทองคงจะนึกไปว่าเจ้าของแบรนด์น่าจะอยู่ประเทศไทย อิอิ  นอกเรื่องไปนิดครับ… เข้าเรื่องกันเลยครับพี่น้ออง วันนี้จะมีข้อมูลเกี่ยวกับป้ายฟรุตหรือที่ฝรั่งเรียกแบบตัวย่อว่า FOTL มีประวัติความเป็นมาอย่างไร ดูเหมือนว่าจะเป็นแบรนด์ที่เก่าที่สุดแบรนด็นึงถึงขนาดว่ายังเก่าแก่กว่า โคคาโคลา และหลอดไฟเสียอีก

นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1851 Fruit of the Loom ได้ผลิตเครื่องแต่งกายคุณภาพสูงสำหรับผู้ชาย ผู้หญิง และเด็ก ปัจจุบันเป็นบริษัทชั้นนำระดับโลกที่เชี่ยวชาญด้านการตลาด การออกแบบ และการผลิตชุดชั้นใน เสื้อยืด และเสื้อผ้าลำลอง เป็นผู้จำหน่ายกางเกงในชายชั้นนำในอเมริกา และเป็นหนึ่งในแบรนด์ที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดในโลก

แบรนด์ Fruit of the Loom ถือกำเนิดขึ้นที่เกาะ Rhode ในช่วงกลางทศวรรษ 1800 ก่อตั้งโดยสองพี่น้อง Benjamin และ Robert Knight ในฐานะ BB และ R. Knight Corporation โรงงานแห่งแรกถูกเปิดขึ้นและเริ่มผลิตผ้าฝ้ายและผ้าคุณภาพสูงในปี 1851 ชื่อ “Fruit of the Loom” ถือกำเนิดขึ้นเมื่อ 5 ปีหลังจากที่ Robert Knight ไปเยี่ยม Rufus Skeel ซึ่งเป็นเพื่อนและลูกค้าของเขา Skeel ขายผ้าจากโรงงานที่มีพี่น้องของ Knight เป็นเจ้าของ ลูกสาวของเขาวาดรูปแอปเปิลบนผ้าบางที่เขาขาย และปรากฏว่าผ้าที่มีแอปเปิลวาดลงไปนั้นได้รับความนิยมมากที่สุด

หลังจากนั้นKnight ตัดสินใจว่าฉลากแอปเปิ้ลน่าจะเป็นสัญลักษณ์ที่น่าจะเหมาะที่สุดสำหรับชื่อทางการค้า “Fruit of the Loom” ของเขา และในปี 1871 Knight ได้รับเครื่องหมายการค้าหมายเลข 418 สำหรับแบรนด์ “Fruit of the Loom” เครื่องหมายการค้าถุกตีพิมเพียงหนึ่งปีหลังจากที่รัฐสภาผ่านกฎหมายเครื่องหมายการค้าเป็นครั้งแรก และ Fruit of the Loom เป็นหนึ่งในเครื่องหมายการค้าที่เก่าแก่ที่สุดที่มีอยู่ ซึ่งถือว่าถือกำเนิดก่อน หลอดไฟ โคคา-โคลา และแม้แต่ถุงกระดาษเสียอีก

ผ้าสักหลาดของ Fruit of the Loom กลายเป็นที่รู้จักอย่างรวดเร็วว่าเป็นผ้าที่ดีที่สุดสำหรับนำมาทำเสื้อผ้าโฮมเมดและผลิตภัณฑ์ผ้าลินินซึ่งพบเห็นได้ทั่วไปในช่วงเวลานั้น สิ่งทอจาก Fruit of the Loom ยังคงเป็นที่ต้องการสูงตราบเท่าที่ผู้หญิงผลิตผ้าลินินและเสื้อผ้าของตัวเอง การเพิ่มขึ้นของอุตสาหกรรมเสื้อผ้าที่ผลิตขึ้นในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ทำให้ตลาดผ้าลดลงอย่างมาก แทนที่จะทำเสื้อผ้าและผ้าลินินด้วยมือ ผู้หญิงกลับนิยมสินค้าสำเร็จรูปมากขึ้น แม้ว่าตลาดดั้งเดิมของบริษัทจะลดน้อยลง แต่ Fruit of the Loom ยังคงได้รับความนิยม

ต้นศตวรรษที่ 20

ปี 1928 Fruit of the Loom เริ่มออกใบอนุญาตแบรนด์ของตนให้กับผู้ผลิตเสื้อผ้าสำเร็จรูป ในช่วงเวลาที่บริษัทสูญเสียผู้บริโภคโดยตรงจำนวนหนึ่งไป Jacob Goldfarb ผู้อพยพวัยเยาว์ได้เปิดธุรกิจเสื้อผ้าของตนเอง ขณะทำงานให้กับ Ferguson Manufacturing Company เขาค้นพบว่าบริษัทเสนอเฉพาะสินค้าที่มีราคาต่ำที่สุดให้กับผู้ค้าปลีกที่ซื้อสินค้าที่มีป้ายราคาสูงกว่าเสียด้วยซ้ำ เขาตัดสินใจว่าเขาสามารถสร้างธุรกิจที่ได้รับความนิยมโดยจัดหาเสื้อผ้าคุณภาพสูงราคาต่ำโดยเฉพาะให้กับผู้ค้าปลีก

Goldfarb ตัดสินใจที่จะเริ่มนำเสนอชุดชั้นในสำหรับผู้ชายที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เขาตั้งชื่อบริษัทของเขาว่า “The Union Underwear Company” และแม้จะไม่มีโรงงานของตัวเอง แต่บริษัทของเขาก็เริ่มผลิตเสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว เขาซื้อผ้าจากซัพพลายเออร์ ให้ส่งไปยังเครื่องตัด แล้วส่งชิ้นส่วนสำเร็จรูปไปยังร้านตัดเย็บเพื่อประกอบและจัดส่ง และเขารักษาระบบนี้ไว้จนถึงจุดเริ่มต้นของภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่

ในปี1930 Goldfarbได้รับการติดต่อจากโปรโมตเตอร์คนหนึ่งซึ่งกำลังมองหาอุตสาหกรรมที่จะสร้างงานและเพิ่มฐานภาษีให้กับเมืองแฟรงก์ฟอร์ต รัฐเคนตักกี้ในช่วงภาวะเศรษฐกิจตกต่ำอย่างต่อเนื่อง และได้ถูกเสนอให้สร้างโรงงานสำหรับธุรกิจ ซึ่งส่งผลทำให้กระบวนการผลิตของ The Union Underwear Company ง่ายขึ้นโดยรวมการดำเนินงานทั้งหมดไว้ในที่เดียว Goldfarb ยอมรับข้อเสนอนี้ และห้าปีต่อมา เขามีพนักงาน 650 คนที่ทำงานให้กับเขาในโรงงานแห่งใหม่ของเขา

Goldfarb ซื้อใบอนุญาต 25 ปีสำหรับ Fruit of the Loom ในปี 1938 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามของเขาในการเป็นนักการตลาดระดับประเทศ เขารู้สึกมั่นใจว่าแบรนด์จะทำให้สินค้าของเขาเป็นที่รู้จักไปทั่วประเทศ บริษัท Union Underwear ได้ก่อตั้งโรงงานแห่งที่สองซึ่งเริ่มผลิตกางเกงบ็อกเซอร์ไม่นานก่อนสงครามโลกครั้งที่สองจะเริ่มต้นขึ้น ในปี 1941 เมื่อสหรัฐอเมริกาเข้าร่วมกับฝ่ายพันธมิตร บริษัทได้รับสัญญาเพื่อผลิต G.I. หลายล้านคู่ กางเกงขาสั้น. สำหรับความพยายามและการมีส่วนร่วม Union Underwear ได้รับการยกย่องหลายประการจากความพยายามดังกล่าว

นวัตกรรมหลังสงคราม

ในช่วงหลังสงคราม Goldfarb ได้ใช้นวัตกรรมมากมายที่ทำให้ Union Underwear และ Fruit of the Loom แตกต่างจากคู่แข่ง ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยทั่วไปแล้วชุดชั้นในจะจำหน่ายแบบแยกชิ้น แต่ในช่วงปลายทศวรรษ 1940 Goldfarb เริ่มขายกางเกงบ็อกเซอร์ของเขาเป็นชุดสามคู่ในถุงกระดาษแก้วพิมพ์ลาย สิ่งนี้สามารถสร้างกระแสที่กลายเป็นมาตรฐานอุตสาหกรรมสำหรับชุดชั้นในพื้นฐานส่วนใหญ่ที่จำหน่ายในสหรัฐอเมริกา

ในปี1948 บริษัทได้มีการขยับขยายที่รวมไปถึงชุดชั้นในแบบถัก และโรงงานแห่งที่สามได้เปิดขึ้นในเมืองแคมป์เบลล์วิลล์ รัฐเคนตักกี้ในปี1952 โรงงานแห่งนี้มีสิ่งอำนวยความสะดวกในการฟอกสีฟันและถักสำหรับชุดชั้นใน Union ซึ่งช่วยให้บริษัทควบคุมการผลิตได้มากขึ้น โรงงานแห่งนี้ยังได้รับความสามารถในการผลิตชุดชั้นในสำหรับบุรุษและเด็กชายที่หลากหลายขึ้น

ในขณะที่ Goldfarb เป็นเพียงผู้ได้รับอนุญาตจากเครื่องหมายการค้า Fruit of the Loom เขาเป็นคนเดียวที่ใช้เงินทุนของตัวเองเพื่อจ่ายค่าโฆษณาผู้บริโภค ในปี 1955 บริษัท Union Underwear ของเขาได้กลายเป็นบริษัทชุดชั้นในแห่งแรกที่โฆษณาผลิตภัณฑ์ของตนทางโทรทัศน์เครือข่าย นอกเหนือจากการซื้อจุดต่างๆ ในงาน Today Show แล้ว บริษัทยังเริ่มโฆษณาผลิตภัณฑ์ของตนบนโปสเตอร์ แบนเนอร์ ตั๋วราคา ป้าย และกระดาษหนังสือพิมพ์ นอกจากนี้ยังเปิดตัวโปรแกรมโฆษณาแบบร่วมมือเพื่อเพิ่มยอดขายให้กับ Fruit of the Loom Goldfarb ประสานงานการขายและแคมเปญโฆษณาของเขากับวันหยุดตามฤดูกาลและกิจกรรมต่างๆ รวมถึงคริสต์มาส วันพ่อ และ Back-to-School ในช่วงเวลานี้ บริษัท Union Underwear ได้วางกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับผู้ค้าสินค้าจำนวนมากที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ภายในเวลาไม่กี่ทศวรรษ ชุดชั้นในพื้นฐานของผู้ชายเกือบครึ่งถูกขายโดยผู้ค้าขายจำนวนมากและร้านค้าลดราคาเหล่านี้

ในปี 1955 Union Underwear Company ถูกยึดครองโดยกลุ่มบริษัทที่จัดตั้งขึ้นใหม่ที่รู้จักกันในชื่อ Philadelphia & Reading Corporation โครงสร้างองค์กรได้สร้างแหล่งข้อมูลเพิ่มเติมสำหรับ Union Underwear และช่วยให้ขยายการดำเนินงานด้านการผลิตได้ ในช่วงเวลานี้ Union Underwear ได้กลายเป็น Fruit of the Loom เป็นผู้ได้รับใบอนุญาตรายใหญ่ที่สุด สำหรับผู้บริโภคหลายๆคนแล้ว แบรนด์ Fruit of the Loom หมายถึงชุดชั้นในที่มากกว่าผ้า ผู้ได้รับใบอนุญาตมีขนาดใหญ่กว่า Fruit of the Loom และเพื่อให้แน่ใจว่าเครื่องหมายการค้าจะยังคงมีอยู่ในปี 1961 Philadelphia & Reading จึงได้ซื้อ Fruit of the Loom Licensing Company

Northwest Industries ซื้อสิทธิบัตรที่ Union Underwear เป็นเจ้าของในปี 1952 ซึ่งทำให้เกิดทุนใหม่อันทำให้บริษัทเติบโตต่อไป ในปีเดียวกันนั้น Goldfarb ก้าวลงจากตำแหน่งประธาน เขาถูกแทนที่โดย Everett Moore ซึ่งเริ่มทำงานที่โรงงาน Frankfort ของบริษัทในปี 1932

การโฆษณาในช่วงปลายทศวรรษ 1960 และต้นทศวรรษ 1970

ตลอดช่วงปลายทศวรรษ 1960 และต้นทศวรรษ 1970 บริษัท Union Underwear ได้ทำงานเพื่อกระตุ้นการโฆษณาชุดชั้นในสำหรับผู้ชาย บริษัทได้ว่าจ้าง Howard Cosell ซึ่งเป็นนักกีฬาชื่อดังให้ไปปรากฏตัวในโฆษณาทางโทรทัศน์จำนวนห้ารายการในช่วงสามปีที่เริ่มในปี 1968 Terry Thomas นักแสดงตลกชาวอังกฤษได้รับเลือกให้เป็นโฆษกของบริษัท ด้วยการใช้โฆษกที่มีชื่อเสียง Fruit of the Loom กลายเป็นแบรนด์ที่เป็นที่รู้จักมากขึ้นและสร้างความตระหนักในชุดชั้นในของแบรนด์

ในปี 1975 Union Underwear สร้างประวัติศาสตร์การโฆษณา ในระหว่างปีนี้ พวกเขาได้เปิดตัวแคมเปญ “Fruit of the Loom Guys” ซึ่งเป็นการโฆษณากับชายสามคนสวมชุดเป็นแอปเปิ้ล พวงองุ่น และใบไม้ร่วง ซึ่งเป็นองค์ประกอบทั้งหมดของเครื่องหมายการค้า Fruit of the Loom ตัวละครเหล่านี้ช่วยสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักและขับเคลื่อนแบรนด์ Fruit of the Loom ให้เป็นที่รู้จักถึง 98 เปอร์เซ็นต์ แคมเปญโฆษณานี้ได้รับเครดิตด้วยส่วนแบ่งตลาดชุดชั้นในสำหรับบุรุษและเด็กชายของ Union Underwear เพิ่มขึ้นสองเท่า

บริษัท Union Underwear ได้เครื่องหมายการค้า(ซื้อ) BVD ในปี 1976 โดยได้ขาย BVD เป็นชุดชั้นในแยกต่างหากสำหรับห้างสรรพสินค้าที่หรูหรา บริษัทยังได้เริ่มขยายสายผลิตภัณฑ์ในปี 1978 เพื่อรวมชุดชั้นในสำหรับเด็กชายและเด็กหญิงที่รู้จักกันในชื่อ “Underoos” ในช่วงปลายทศวรรษ 1970 Union Underwear ยังได้ขยายไปสู่แนวเสื้อยืด Fruit of the Loom ผ้าพื้นสำหรับอุตสาหกรรมการพิมพ์สกรีน การขยายตัวนี้กลายเป็นบริษัทขนาดใหญ่ที่รู้จักกันในชื่อ “Screen Stars” ซึ่งจำหน่ายเสื้อยืดเปล่า กางเกงวอร์ม และเสื้อสเวตเตอร์เปล่าจำนวนมาก

การซื้อกิจการและการปรับโครงสร้างองค์กรในทศวรรษ 1980

ในช่วงปี 1980 มีแนวโน้มการเข้าซื้อกิจการแบบมีเลเวอเรจ  เช่นเดียวกับหลายๆ บริษัท Union Underwear ถูกซื้อขาดในช่วงเวลานี้ William F. Farley ซื้อกิจการในปี 1984 เมื่อเขาจ่ายเงิน 1.4 พันล้านดอลลาร์เพื่อซื้อ Northwest Industries บริษัทแม่ได้เปลี่ยนชื่อเป็น “Farley Industries” เช่นเดียวกับคนอื่นๆ อีกหลายคน Farley เปรียบการซื้อของเขาจนกลายเป็นชัยชนะครั้งใหญ่ จนถึงช่วงปลายทศวรรษ 1980 เขาได้สร้างกลุ่มธุรกิจเครื่องแต่งกายและสิ่งทอที่มีพนักงานกว่า 650,000 คนทั่วโลก และยอดขาย 4 พันล้านดอลลาร์ต่อปี

กลุ่มบริษัท ได้รับการปรับโครงสร้างในปี 1985 และขายหุ้นจำนวน 260 ล้านดอลลาร์ ในระหว่างการปรับโครงสร้างใหม่นี้ Union Underwear ได้เปลี่ยนชื่อเป็น Fruit of the Loom, Inc. เพื่อช่วยเชื่อมโยงบริษัทกับเครื่องหมายการค้าที่รู้จักกันดียิ่งขึ้น Farley พยายามปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานและบีบผลกำไรเพิ่มเติมจากสถานะของบริษัทในฐานะผู้ผลิตชั้นนำในอุตสาหกรรมชุดชั้นใน เขาทำการเปลี่ยนแปลงในด้านการผลิต ปรับปรุงการผลิตให้ทันสมัยในสหรัฐอเมริกา และขยายบริษัทไปยังยุโรป

การเปลี่ยนแปลงด้านการผลิตที่เกิดขึ้นตลอดช่วงทศวรรษ 1980 ได้เปลี่ยน Fruit of the Loom จากผู้ผลิตชุดชั้นในให้เป็นบริษัทเครื่องแต่งกาย บริษัทมุ่งเน้นการผลิตชุดชั้นในบุรุษ ชุดชั้นในสตรี และถุงเท้า ฉลาก Fruit of the Loom ถูกนำไปใช้กับชุดกีฬาในปี 1987 ในช่วงทศวรรษ 1980 Fruit of the Loom ยังสร้างประวัติศาสตร์ด้วยการเปิดตัวเสื้อยืดกระเป๋าหน้ายอดนิยมสีรุ้งที่มีสไตล์

ทศวรรษ 1990 และปีต่อๆ ไป

ในช่วงปี 1990 Fruit of the Loom ได้รับผลกระทบจากการลดขนาดลงอย่างแพร่หลายของอุตสาหกรรมสิ่งทอของอเมริกา แทนที่จะมุ่งเน้นไปที่กางเกงในและกางเกงบ็อกเซอร์ซึ่งเป็นสินค้าที่มีกำไรต่ำสำหรับธุรกิจ บริษัทได้เริ่มเน้นที่การพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุดลำลองและชุดออกกำลังกายมากขึ้น ซึ่งทำได้โดยการขยายสายผลิตภัณฑ์ของตนเองและโดยการซื้อแบรนด์อื่นๆมาเข้าร่วมกิจการ Salem Sportswear ในปี 1993 และทำข้อตกลงอนุญาตให้ผลิตและทำการตลาดเสื้อผ้ากีฬาภายใต้แบรนด์ Wilson ในปี 1994 Fruit of the Loom ได้ซื้อกิจการ Pro Player, Artex Manufacturing Inc. และ Gitano Group

ในปี 1999 บริษัทได้ยื่นขอความคุ้มครองการล้มละลายในมาตรา 11 หลังจากมีผลขาดทุน 576.2 ล้านดอลลาร์ หุ้นที่มีมูลค่าประมาณ 44 ดอลลาร์ต่อหุ้นในปี 1997 ลดลงเหลือเพียง 1 ดอลลาร์ในปี 2000 

Berkshire Hathaway Corporation ซึ่งควบคุมโดยนักลงทุนที่ชื่อว่า Warren Buffet ได้ซื้อ Fruit of the Loom จากการล้มละลายในปี 2002 บริษัท ถูกซื้อด้วยเงินประมาณ 835 ล้านดอลลาร์ในข้อตกลงที่ปิดตัวลงเมื่อวันที่ 29 เมษายน  2002 บริษัท ได้ซื้อ Russell Corporation ในปี 2006 และ บริษัท Vanity Fair Intimates ของ VF Corporation ในปี 2007

Fruit of the Loomในวันนี้

แม้จะมีความท้าทายมากมายที่ Fruit of the Loom ต้องเผชิญตลอดช่วงทศวรรษ 1990 และต้นทศวรรษ 2000 แต่ก็ยังคงเป็นผู้นำในอุตสาหกรรม ในฐานะส่วนหนึ่งของ Berkshire Hathaway บริษัทได้รับความมั่นคงทางการเงินและมีรากฐานที่มั่นคงเพื่อให้สามารถเติบโตต่อไปได้ ปัจจุบันเป็นบริษัทชั้นนำระดับโลกที่เชี่ยวชาญด้านการออกแบบ ผลิต และจำหน่ายเครื่องแต่งกายสำหรับบุรุษ ผู้หญิง และเด็ก

แม้กระนั้นเราสามารถพบเห็นเสื้อยืดป้ายฟรุตบ่อยครั้งจากทุกยุคทุกสมัย เสมือนดั่งบรรพบุรษผู้ยิ่งใหญ่ของวงการเสื้อยืดวินเทจก็ว่าได้เพราะเป็นยี่ห้อที่มีมาตั้งแต่เราไม่เกิด เห็นป้ายนี้ทีไรความขลังที่มีอยู่ในตัวมัน ทำให้สมองจำต้องสั่งการให้ต้องพิจารณาองค์ประกอบอื่นๆก่อนจะเลือกซื้อทุกที

🎯🎯 เสื้อฟรุตในร้าน🎯🎯

ป้ายตามยุคพอสังเขปครับ

เอกสารอ้างอิง

1.https://www.pinterest.com/pin/302374562490446463/visual-search/?x=16&y=13&w=530&h=427&imageSignature=d131d0bc74e666eeed23a587351e1ec5

2. https://www.pinterest.com/pin/836191855797028806/visual-search/?x=16&y=18&w=538&h=536&cropSource=6&imageSignature=eeae722e67271899a4b14265f7a2eedc

3.https://www.theadairgroup.com/blog/2019/02/11/the-history-of-fruit-of-the-loom-apparel/

เสื้อยืดมือสอง | เสื้อยืดวินเทจ | เสื้อยืดกระสอบ | เสื้อวินเทจลายการ์ตูน | เสื้อแขนจั๊มวินเทจ | เสื้อยืดผ้าพื้นวินเทจ | เสื้อยืดกระเป๋าหน้าวินเทจ  |เสื้อวงวินเทจ เสื้อยืดผ้าบางวินเทจ | ผ้า50/50 ผ้า100 | ตะเข็บเดี่ยว | ตะเข็บคู่ | 60s’ | 70s’ | 80s’ | 90s’ |

(God knows best)